ยินดีต้อนรับครับ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

The History of Air Jordan แบรนด์ที่เป็นมากกว่ารองเท้า



หากจะพูดถึงแบรนด์ sneaker ที่ทรงอิทธิพลสักแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการรองเท้ากีฬาบาสเกตบอลแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น Jordan Brand ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Nike อย่างแน่นอน ยืนยันได้จากยอดขายรองเท้า Air Jordan หลายร้อยถึงหลายพันล้านเหรียญในแต่ละปีตั้งแต่เริ่มผลิตรุ่นแรกออกมา และยังขายดีจนแซงหน้ารองเท้าจาก Nike เองด้วยซ้ำไป
กระแสความนิยมของ Air Jordan นั้นเกินระดับคำว่า คลั่งไคล้ไปแล้ว เพราะเป็นรองเท้าที่มักจะขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็วเหลือเชื่อ และขายต่อกันในราคาที่สูงกว่าราคา retail หลายเท่าตัว แทรกซึมอยูในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนและ street culture ทุกอณู มีแฟนคลับทั่วโลก จนหลายครั้งก่อให้เกิดการแย่งชิง การทะเลาะวิวาท การทำร้ายร่างกาย การก่อจลาจล ไปจนถึงฆาตกรรม ต้นเหตุเพียงเพราะรองเท้าแค่คู่เดียว
ทั้งหมดนี้มาจากนักบาสเกตบอลผู้เป็นสุดยอดแรงบันดาลใจและตำนานแห่ง NBA ชื่อว่า Michael Jordan ที่ภายหลังผันตัวมาเป็นเจ้าของและดูแล Jordan Brand ด้วยตนเอง
MJ เผยว่า เดิมทีเขาเป็นแฟนรองเท้า Adidas ตัวยง และสมัยเรียนที่ North Carolina โค้ชก็ให้เขาใส่แต่ Converse ลงแข่งบาสฯ ทว่า ด้วยฝีมือที่โดดเด่นเกินวัย จึงเกิดการช่วงชิงตัวพรีเซนเตอร์รองเท้า signature รุ่นใหม่กันระหว่าง Adidas, Converse, และ Nike ตอนที่เจ้าตัวกำลังจะก้าวสู่ NBA แม้ว่า MJ จะชื่นชอบ Adidas มาก แต่ฝ่ายหลังยื่นข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจกว่า ทั้งยังมีแผนการตลาดที่ดีกว่า MJ จึงตัดสินใจเลือก Nike ในที่สุด หลังจากนั้นสายการผลิตรองเท้า Air Jordan ที่ sneakerhead ทั่วโลกต่างใฝ่ฝันจะครอบครองก็เริ่มขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ความนิยมสูงลิ่วของไลน์รองเท้า Air Jordan ทำให้เราได้เห็นรองเท้ารุ่น retro ที่นำเอารุ่นเก่าๆ มาปรับเปลี่ยนดีไซน์และวางขายใหม่ รวมถึงรุ่นพิเศษ แพ็กเกจพิเศษ และรุ่น collab อีกมากมาย เช่น Levi’s x Air Jordan 1 23/501Eminem x Air Jordan 4OVO x Air Jordan 10 & 12Supreme x Air Jordan 5 เป็นต้น
ที่มาจาก :http://www.sneakavilla.net/the-history-of-air-jordan/
นายจิตรภรณ  สุรัติรางคกุล ม.6/2 เลขที่ 3

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

กว่าจะเป็น...สัตวแพทย์

       

             
           
          อาชีพสัตวแพทย์ เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีบทบาทและความสำคัญต่อประเทศเกษตรกรรมเป็นอย่างมาก เมื่อพูดถึงอาชีพสัตวแพทย์หลายๆคนอาจคิดว่าเป็นแค่หมอรักษาสัตว์ทั่วไป แต่บทบาทหน้าที่ของสัตวแพทย์ไม่ได้มีแค่นั้น นอกจากการรักษาสัตว์แล้ว สัตวแพทย์ยังมีบทบาทหน้าที่ในด้านอื่นๆอีกมาก เช่น ในด้านสัตว์เศรษฐกิจหรืองานด้านปศุสัตว์ ซึ่งก็คงไม่ใช่การตอนสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่สัตวแพทย์ยังมีหน้าที่ในการคัดเลือกสายพันธุ์ การผสมเทียม การดูแลจัดการด้านต่างๆ ตลอดจนการป้องกันโรค นอกจากการดูแลสัตว์แล้วก็ยังมีการดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน
          อย่างไรก็ตาม มีผู้นิยมเลี้ยงสัตว์ในบ้านเรือนส่วนบุคคลมากขึ้น ความต้องการสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลหรือคลินิก อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพส่วนตัวเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะผู้เลี้ยงสัตว์มักนำสัตว์เลี้ยงของตนไปคลินิกมากขึ้น เนื่องจากต้องการความสะดวกรวดเร็วในการตรวจและรักษาสัตว์เลี้ยง


ที่มาจาก : http://www.vetcouncil.or.th
นางสาวสุรางคนา พูลสมบัติ  ชั้น ม. 6/2  เลขที่ 39

ดนตรีเปลี่ยนชีวิต



ดนตรีเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้น    และได้เป็นเพื่อนทางจิตใจของมนุษย์มาช้านานแล้ว คำถามที่ว่าศิลปะแขนงนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด   ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้    แต่ว่าอาศัยหลักฐานและข้ออิงทางมานุษยวิทยา (anthropology)    ดนตรีช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยที่ร่างกายได้รับการบาดเจ็บ ในกรณีที่ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุจนร่างกายได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ การให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมดนตรีบำบัดจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้นได้ โดยการฟังเพลงบรรเลงที่มีทำนองช้าเบาสบาย ที่มีเสียงธรรมชาติประกอบ เช่น เสียงนกร้องเบาๆ เสียงฝนหรือน้ำไหลเบาๆ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย มีจินตนาการไปตามเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยลดความเจ็บปวดและลดความวิตกกังวลลงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณประโยชน์ต่างๆจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆของดนตรีที่จะนำมาใช้บำบัด ซึ่งก็คือ จะต้องเลือกดนตรีให้เหมาะสมกับคนไข้ ทั้งทางด้านตัวบุคคล อารมณ์ รวมถึงสุขภาวะด้วย  เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลที่ดี และลักษณะของดนตรีก็ควรจะมีความอ่อนนุ่ม ไพเราะ ฟังสบาย  ส่วนในขั้นตอนการรักษา ผู้รักษาจะต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนไข้เพื่อให้คนไข้เกิดความพร้อม/เต็มใจที่จะรับการบำบัด โดยใช้ดนตรีช่วยเป็นสื่อในกิจกรรม ควรจะมีการบูรณาการดนตรีเข้ากับการบำบัดด้านอื่นๆด้วย พร้อมทั้งมีการประเมินผลของการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ปรับแผนการบำบัดให้เกิดความเหมาะสมยิ่งขึ้น
ที่มาจาก:https://www.google.co.th/search?q=ดนตรี  
 นางสาว สุพรรณนิภา เศวตสุทธิสิริกุล ม.6/2 เลขที่38

เทคนิคพิชิตเอแม็ท



เอแม็ท ( A-MATH ) เป็นเกมต่อคำนวณทางคณิตศาสตร์ อาศัยทักษะการต่อตัวเลขตามหลักสมการการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น การบวก การลบ การคูน การหาร ลงบนช่องตาราง เพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุด ซึ่งในปัจจุบันเป็นเกมที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร ทั้งยังใช้ในการแข่งขันต่างๆมากมาย และถ้าหากเราต้องการจะเล่น หรือให้ชำนาญเพื่อที่จะไปแข่งในสนามต่างๆ ก็ควรที่จะมีกลยุทธ์ มีเทคนิค ในการทำคะแนน เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่งขันให้ได้ และการเล่นเอแม็ทนี้ ยังเป็นการฝึกใช้ทักษะทางคณิตศาสตร์ ฝึกความคิด ความรอบคอบ คล่องแคล่วในการคิดเลข และยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย
ที่มา : http://a-mathismylife.blogspot.com/p/new.html?m=1
นายวรรณเฉลิม เพิ่มทรัพย์ เลขที่ 30 ชั้น ม. 6/2

เส้นทางที่จะพิชิต 7 วิสามัญ



ไม่ใช่เรื่องยากแต่การที่เราจะพิชิตได้ ต้องมีกลวิธีการพิชิตมีวิธีง่ายๆ คือการจัดตารางการอ่านหนังสือ มีดังนี้
1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่น้องต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะครับ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก
2. วางลำดับวิชาและเนื้อหา
ขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบนะครับ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน
3. ลงมือทำยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนกับที่พี่เคยเขียนไว้ว่า อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะครับ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอให้น้องๆ ทำอะไร ทำจริงแล้วกันนะครับ ทำให้ได้จริงๆ
4. ตรวจสอบผลงาน ผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ พี่ขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ
ที่มาจาก:http://www.theactkk.net/
นายปฎิภาณ ยศเมฆ ม.6/2 เลขที่ 19

คิดดีแล้วหรือจึงจัดฟัน



การจัดฟัน เป็นวิธีการแก้ปัญหาฟันเรียงตัว และสบฟันผิดปกติ ไม่สวยงาม โดยการใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพฟัน และบุคลิกภาพที่ดี การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ประมาณ 10-14 ปี เพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโต ฟันจะเคลื่อนที่ได้ง่าย
ข้อดีของการจัดฟัน
  • เพื่อสุขภาพที่ดีของช่องปาก หากมีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันยื่น ฯลฯ จะทำให้การทำความสะอาดฟันไม่ทั่วถึง จะเกิด ปัญหาฟันผุตามมา เมื่อจัดฟันให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ย่อมแปรงฟันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เพื่อให้ฟันทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • เพื่อความสวยงาม และบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
ข้อเสียของการจัดฟัน
           
การรักษาจัดฟันไม่ได้มีแต่ข้อดีที่จะให้ฟันเรียงตัวสวยงามและบดเคี้ยวอย่างมีประสิทธิภาพแต่เพียงด้านเดียว ผลเสียที่เกิดจากการจัดฟันอาจจะเกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้เช่นฟันผุ, เหงือกอักเสบ, ฟันอาจจะตายได้สำหรับการรักษาในบางกรณี,รากฟันอาจจะมีการละลาย, เครื่องมือที่แตกหักอาจจะ ทิ่มแทงเนื้อเยื่อในปากและกระพุ้งแก้ม, อาจจะมีอาการปวดข้อต่อขากรรไกรได้ทั้งนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับการจัดฟันเลย ฯลฯ
การจัดฟันนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันนั้นไม่เพียงจะทำให้ฟันของเราเข้ารูป แต่ยังช่วยทำให้เรารูปหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทำให้มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมองดูโดยภาพรวมแล้วการจัดฟันก็มีผลต่อตัวเราในทางที่ดี แต่ก็อาจจะไม่จำเป็นเสมอไป เพราะเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าในอนาคตนั้นการจัดฟันจะส่งผลดีต่อตัวเราหรือไม่ หรืออาจจะส่งผลให้เราจะต้องสูญเสียฟันไปก่อนคนอื่นก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นแล้วเราก็ควรที่จะพิจารณาถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ หรือข้อเสียจากการจัดฟันให้ดีก่อนจะตัดสินใจจัดฟัน

ที่มาจาก   http://www.judfuns.com/blog/archives/148
นางสาวเกสรา   สุขสวัสดิ์    เลขที่ 5    ชั้น ม.6/2

ภาวะโลกร้อนความจริงช็อกโลก



ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หมายถึง การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศบนโลกสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอากาศบริเวณใกล้ผิวโลกและน้ำในมหาสมุทร ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 0.74 ? 0.18 องศาเซลเซียส และจากแบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศพบว่าในปี พ.ศ. 2544 – 2643 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็เพราะว่าก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญถ่านหินและเชื้อเพลิง รวมไปถึงสารเคมีที่มีส่วนผสมของก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ใช้ และอื่นๆอีกมากมาย จึงทำให้ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปในปริมาณที่เหมาะสม กลับถูกก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้กักเก็บไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกค่อยๆสูงขึ้นจากเดิม
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนนั้นก็มีให้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ สภาพลมฟ้าอากาศที่ผิดแปลกไปจากเดิม ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุที่รุนแรง อากาศที่ร้อนผิดปกติจนมีคนเสียชีวิต รวมไปถึงโรคระบาดชนิดใหม่ๆ หรือโรคระบาดที่เคยหายไปจากโลกนี้แล้วก็กลับมาให้เราได้เห็นใหม่ และพาหะนำโรคที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ในอนาคตคาดว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้หลายวิธี หลักๆก็เห็นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด เพราะว่าพลังงานที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้กว่าจะมาถึงให้เราได้ใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนในการผลิตมากมาย และแต่ละขั้นตอนก็จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา เพราะฉะนั้นการลดใช้พลังงานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในการเดินทางใกล้ๆ และอื่นๆอีกมากมาย
การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ อย่างที่เรารู้กันดีว่าในเวลากลางวัน ต้นไม้นั้นจะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเราโดยแท้ แต่ทว่าปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ฉะนั้นถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ก็เหมือนกับช่วยเพิ่มเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเรา
ที่มาจาก : http://www.greentheearth.info/
นางสาวอาภาศิริ   นาคแก้ว    ม.6/2     เลขที่ 42